Ficool

Chapter 3 - Part 2

ภาพตัดกลับมาที่ โอเนีย และ เมบิอุส ที่กำลังนั่งคุยกัน

โอเนีย: ฉันขอถามหน่อยสิ ถ้าเธอมาจากจักรวาลอื่น แล้วที่นั่นมีโลกแบบนี้รึเปล่า

เมบิอุส: มีครับ ไม่ว่าจะเป็นในจักรวาลไหน ๆ ก็ไม่อาจระจากดาวโลกได้ แต่ว่าผมยังไม่เคยได้ไปดาวโลกที่นั่นเลย

โอเนีย: งั้นก็อาจเป็นไปได้ว่า อาจจะมีบางจักรวาลที่ยังมีพวกเธออยู่อีกก็ได้นะ

 หลังจากนั้นภาพก็ตัดออกไปข้างนอกบนท้องฟ้าอันมืดมิดแสนน่ากลัว ที่ตอนนี้กำลังมีประตูมิติมืดปรากฏออกมา และไม่นาน อะแธ ก็ได้กลับมาที่โลกอีกครั้ง โอเนีย และ เมบิอุส ที่รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ก็รีบออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก ถึงแม้ว่าระยะห่างจากบ้านของ โอเนีย จะค่อนข้างไกล แต่ด้วยขนาดและรูปร่างอันน่าเกรงขามของ อะแธ ทำให้พวกเขาเห็นตัวของมันได้ทันที

 ทั้งคู่ไม่รอช้ารีบเตรียมตัวไปสู้กับ อะแธ แต่ก่อนที่จะได้ไปนั้น เมบิอุส สังเกตเห็นตัวเองว่ามีขนาดเล็กเท่ากับคนปกติ ในขณะที่เขาหมดสติเขาจึงไม่รู้ตัวว่า โอเนีย ได้ร่ายเวทย์ใส่เขา เมบิอุส พยายามใช้พลังของตนขยายร่างขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล

เมบิอุส: เกิดอะไรขึ้นกับเราเนี่ย…คุณ โอเนีย ทำไมผมถึงตัวเล็กแบบนี้ล่ะครับ

โอเนีย: แย่จริง ฉันลืมเลย

 โอเนีย ปลดพลังที่เธอใส่ไว้ในตัวเขาออกมา เมบิอุส ทำท่าทางตกใจเล็กน้อย ก่อนที่ร่างกายของเขาจะเค่อย ๆ กลับมาเป็นขนาดปกติ ทั้งคู่ไม่รอช้ารีบบินมุ่งหน้าไปทางที่ อะแธ กำลังอยู่

 ในมุมมองของ อะแธ ที่เห็นทั้งคู่กำลังบินมาหามัน ก็ทำแค่เพียงยืนรอให้พวกเขามาถึง โอเนีย และ เมบิอุส ที่อยู่ข้าง ๆ กัน ก็ได้เตรียมท่าโจมตีเอาไว้ แต่ทันใดนั้นเอง อะแธ ก็ได้พูดบางอย่างออกมา

อะแธ: ฉันขอโทษ…

 เพียงคำพูดที่เดียวที่ไม่อาจเชื่อว่าจะออกมาจากปากสัตว์ประหลาดตัวร้ายนี้ จะเป็นเหมือนคำพูดหยุดเวลาที่ทำให้เมื่อได้ยินต้องหยุดชะงักทันที

โอเนีย: นี่ฉันได้ยินไม่ผิดใช่มั้ย…

เมบิอุส: คิดจะเล่นสกปรกอะไรอีก

 อะแธ ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกผิด

อะแธ: ช่วยฟังก่อนนะ ยังมีความจริงที่พวกนายอาจจะยังไม่รู้…งานแบบนี้น่ะ ใช่ว่าฉันจะอยากทำหรอกนะ…

 ทั้งคู่ค่อย ๆ ลดท่าโจมตีลง และด้วยความสงสัย โอเนีย จึงได้ถามมันกลับไป

โอเนีย: แล้วทำไปทำไม

อะแธ: ชีวิตฉันน่ะเกิดมาเป็นเหมือนกับเงา ถูกบดบังและเบียดเบียน ไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง แต่ก็ต้องทำเพราะถูกบังคับ…

 น้ำเสียงของ อะแธ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเศร้า ทำให้ทั้งคู่เริ่มใจอ่อนลงมา

เมบิอุส: ไม่มีทางเลือกเลยงั้นเหรอ…

อะแธ: ใช่…ฉันก็เป็นเหมือนกับด้ายที่พร้อมขาดได้ทุกเมื่อ ที่ยังอยู่ได้ถึงตอนนี้ก็เพราะต้องทำงานแบบนี้แหล่ะ

 อะแธ ก้มหน้ารับผิดอีกครั้งก่อนที่ เมบิอุส ยื่นมือไปให้

เมบิอุส: ฉันมั่นใจว่าเส้นทางไม่ได้มีแค่ทางเดียว นายอาจแค่เดินผิดทาง…ลุกขึ้นมาเถอะนะ

 อะแธ ที่ได้ยินก็ค่อย ๆ ยื่นมือรับ เมบิอุส แต่แล้วเขาก็ต้องเก็บมือกลับ

อะแธ: ขอบใจนะที่เข้าใจฉัน แต่ว่า…ถ้าเกิดฉันไม่ทำงานให้กับเขา เขาจะฆ่าฉัน

เมบิอุส: นายไม่ต้องห่วงนะ ไม่ว่านายจะทำงานให้ใคร ถ้าเขาจะฆ่านายล่ะก็พวกเราจะอยู่ข้างนายเอง

อะแธ: พวกนาย พูดจริงเหรอ…แต่บ้านเมืองที่ฉันทำพังพวกนี้ล่ะ

เมบิอุส: พวกเราช่วยกันซ่อมแซมได้ มาเริ่มต้นด้วยกันใหม่นะ

 อะแธ มองดูหน้าทั้งสองคนด้วยความทราบซึ้ง โอเนีย ยิ้มรับและพยักหัวให้ ก่อนที่ อะแธ จะลุกขึ้น เสียงปริศนาก็ดังก้องทั่วท้องฟ้า ฟ้าร้องดังสนั่นด้วยความพิโรธ ความมืดมิดค่อย ๆ ปกคลุมพื้นที่ให้ยิ่งมืดลงไป

เสียงปริศนา: อะแธ เจ้ากล้าดียังไงจะทรยศข้า!

 อะแธ เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับพูดสวนกลับ

อะแธ: เอเรบัส(เอเรบัส) ต่อจากนี้ข้าจะไม่ยอมก้มหัวให้ท่านอีกแล้ว!

เอเรบัส: โอหัง! ข้าจะให้ที่นี่เป็นหลุมสุดท้ายของเจ้า!

 กลุ่มเมฆสีดำขนาดใหญ่ก็ตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นอัศนีนับพันได้ฟาดฟันใส่ตัวของ อะแธ จนล้มลงกับพื้น เมบิอุส และ โอเนีย ที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเข้าไปดูอาการของเขา

เมบิอุส: อะแธ นายต้องแข็งใจไว้นะ!

อะแธ: เมบิอุส…

 เอเรบัส ตั้งใจจะปลิดชีพพวกเขาทั้งหมด ไม่นานนักสายฟ้าฟาดนับหมื่นนับพันกำลังจะตกลงมาที่ผืนปฐพี อะแธ ทำท่าทางเตรียมใจไว้เรียบร้อย แต่ก่อนที่สายฟ้าทั้งหลายจะได้โดนตัวพวกเขา สายตาของ โอเนีย ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรืองรองบริสุทธิ์ และเกราะป้องกันขนาดใหญ่ก็พุ่งพร่านออกมาด้วยความรวดเร็ว และไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่รุนแรงแค่ไหน ภายในเกราะป้องกันของเธอก็ไม่อาจแตะต้องได้

เอเรบัส: …

 หลังจากการโจมตีสงบลง เกราะป้องกันสีฟ้าก็ค่อย ๆ จางหายไป และทุกคนที่อยู่ในนั้นก็ปลอดภัยดี แต่ก่อนที่ดวงตาของ โอเนีย จะเปลี่ยนกลับมาดังเดิม เธอเหมือนจะเห็นภาพบางอย่างเพียงพริบตาในหัวของเธอ แสงสว่างเล็ก ๆ ที่พุ่งผ่านความมืด ก่อนที่เธอจะรู้ตัวอีกครั้ง

โอเนีย: เมื่อกี้นี้…

 โอเนีย มองขึ้นไปบนฟ้ามืดอีกครั้ง ก่อนจะหันหันกลับไปเพื่อดูอาการของ อะแธ ที่สภาพในตอนนี้ดูไม่สู้ดีนัก มันทำให้ โอเนีย ย้อนนึกกลับไปในตอนที่เธอสูญเสียซายะ

 อะแธ ที่กำลังนอนบาดเจ็บ พยายามจะพูดบางอย่างกับ เมบิอุส ด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา

อะแธ: เมบิอุส ฉันขออะไรนายหน่อยได้มั้ย

เมบิอุส: ได้สิบอกฉันมาเลย

อะแธ: ฉันขอให้นายช่วยเติมพลังให้ฉันหน่อยได้มั้ย…ถ้ามีพลังพวกเราจะจัดการเขาได้

 โอเนีย ที่ได้ยินก็รีบเสนอช่วยเขาอีกแรง แต่ อะแธ ก็ต้องปฏิเสธเพราะความรู้สึกผิด

โอเนีย: เอาของฉันไปด้วย

อะแธ: ไม่ต้องหรอก ฉันทำร้ายเธอมากเกินแล้ว…

เมบิอุส: ฉันจะช่วยนายเอง!

 เสียงเยาะเย้ยของ เอเรบัส ดังก้องไปทั่วท้องนภา มันยิ่งทำให้ เมบิอุส รู้สึกโมโห

เอเรบัส: ไม่ว่าจะทำวิธีไหนก็ปล่าวประโยชน์!

 เขาไม่รอช้า รีบแบ่งพลังในร่างกายให้กับ อะแธ การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ โอเนีย เป็นห่วงเพราะรอบที่แล้วเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด

โอเนีย: เมบิอุส…เธอจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย…

เมบิอุส: ไม่ต้องห่วงครับคุณ โอเนีย ผมมั่นใจว่าพลังผมมีมากพอ

 ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี ทันใดนั้นเอง Color Timer ก็เริ่มส่งเสียงอีกครั้ง ในฝั่งของ อะแธ ที่กำลังรับพลังเข้ามาเรื่อย ๆ ก็ค่อย ๆ แข็งแกร่งมากขึ้น และไม่นานพลังที่ถูกปล่อยออกไปก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำ ทำให้ โอเนีย ที่เห็นตกใจเป็นอย่างมาก

โอเนีย: เกิดอะไรขึ้นน่ะ!

 เมื่อพลังสีดำค่อย ๆ กลืนกินลำแสงสีทองของเขาจนดำสนิด มันก็ทำให้ เมบิอุส ต้องล้มลงกับพื้น และ อะแธ ที่กลับลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยพลังที่มากกว่าเดิม Color Timer อาการหนักลงกว่าเดิม เนื่องจากถูกกัดกร่อนด้วยพลังแห่งความมืดจนตอนนี้ เมบิอุส ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีก

อะแธ: แบบนี้แหล่ะใช่เลย!

 โอเนีย ที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว มีทางเดียวคือเธอต้องหยุด อะแธ เธอไม่รอช้ารีบตึงสติเขากลับคืน เธอปาพลังในมือใส่หน้าของ อะแธ อย่างจัง ก่อนที่พลังเส้นสุดท้ายจะถูกดูดไปด้วย

อะแธ: ขอบใจสำหรับพลังนะ เมบิอุส ฉันรู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาอีกครั้งเลยล่ะ

 อะแธ ก้มหน้าลงไปพูดกับ เมบิอุส ที่หมดสติ ก่อนที่เสียงของ เอเรบัส จะพูดขึ้นมาอีกครั้งและการจัดฉากทั้งหมดก็ได้หายไป ท้องฟ้ากลับมาเป็นดังเดิมจากความมืดอันน่ากลัว

เอเรบัส: ทำดีมาก อะแธ การแสดงของเจ้ายอดเยี่ยมไปเลย

 โอเนีย ที่เมื่อได้ยินก็แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง ทั้งหมดที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่การแสดง เธอพูดไม่ออกและทำสีหน้าสับสน

อะแธ: พวกแกคิดจริง ๆ เหรอว่าฉันจะยอมทรยศต่อท่าน เอเรบัส ฉันแค่ต้องการหลอกเอาพลังของเจ้า เมบิอุส ก็เท่านั้นเอง

 ภาพย้อนกลับไปในมิติแห่งความมืดก่อนที่ อะแธ จะได้กลับมาที่โลก มันได้วางแผนบางอย่างกับ เอเรบัส

เอเรบัส: เหตุใดเจ้ายังช้าอีก อะแธ อยากโดนลงโทษอีกหรือ!

อะแธ: ข้าขออภัยที่ยังชักช้าอยู่ แต่ว่าข้ามีแผนบางอย่างจะมาบอกท่าน

เอเรบัส: ถ้าเกิดเป็นแผนกระจอกงอกง่อยอย่าได้บังอาจมาพูดให้ข้าฟัง

อะแธ: ท่านก็รู้ว่าตัวข้าเป็นใคร ตลอดพันปีมานี้ข้าไม่เคยทำให้ท่านต้องผิดหวังสักครั้ง แผนของข้าครั้งนี้ก็เช่นกัน

 เอเรบัส เงียบสักพัก ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ

เอเรบัส: รีบว่ามา ข้าไม่อยากเสียเวลา

อะแธ: ถ้าเกิดข้าได้พลังของเจ้า เมบิอุส นั่น มันจะยิ่งทำให้ข้าแข็งแกร่งงขึ้นไปอีก แต่คงจะยากถ้าท่านไม่ช่วยข้า

เอเรบัส: แล้วจะให้ข้าช่วยอะไร

อะแธ: ข้าอยากให้ท่านช่วยแสดงละคร ทำให้ข้าเป็นเหยื่อล่อ และสุดท้ายข้านี่เองที่จะทำให้มันติดกับ

เอเรบัส: ถ้าเกิดแผนของเจ้าผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ เจ้าก็คงรู้ว่าเงาของเจ้าจะเป็นเช่นไร

อะแธ: ขอรับ…

 ภาพตัดกลับมาหลังจากแผนการของพวกมันสำเร็จ ปล่อยให้ โอเนีย จมอยู่กับความสิ้นหวัง พร้อมร่างยักษ์ของ เมบิอุส ที่นอนแน่นิ่ง

อะแธ: ขอบใจสำหรับน้ำใจดี ๆ ฮ่าฮ่าฮ่า

โอเนีย: ทำไมเธอต้องหักหลังพวกเราด้วย…

อะแธ: ฉันไม่เคยบอกว่าจะอยู่ข้างพวกแก พวกแกน่ะโง่เองที่เชื่อฉัน

 โอเนีย แทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เพราะความผิดหวังที่เธอนั้นได้เชื่อใจมันไปแล้ว เธอมองหน้า อะแธ ด้วยความเศร้า แต่มันกลับทำท่าทางไม่สนใจ

เอเรบัส: รีบไปเก็บ Soul Light ต่อได้แล้ว จักรวาลจะต้องตกเป็นของข้า…อีกครั้ง

อะแธ: ขอรับท่าน เอเรบัส

 อะแธ มองหน้า โอเนีย เหมือนกับท่าทางเย้ยหยัน และบินจากไป ปล่อยให้ทั้งคู่จมอยู่กับความสิ้นหวังที่มืดมิด เสียงบรรยากาศโดยรอบตอนนี้เงียบสงัด เพราะแม้กระทั่ง Color Timer ก็ไม่กระพริบอีกแล้ว

โอเนีย: เมบิอุส…ฉันขอโทษที่ต้องทำให้เธอเป็นแบบนี้…

 แต่แล้วก็มีบางสิ่งบางอย่างสะดุดตาเธอ แสงประกายวิบวับสีแดงที่อยู่ด้านซ้ายมือของเขา ปรากฏว่านั่นคือ เมบิอุส Brace ของประจำตัวของเขา ทำให้เธอรู้สึกกลับมามีความหวังอีกครั้ง

โอเนีย: ถ้าเกิดฉันส่งเขากลับดาวได้…ที่นั่นต้องมีวิธีรักษาแน่นอน!

 โอเนีย คิดแผนที่จะพาเขากลับดาวได้แล้ว จึงได้ใช้พลังของเธอย่อส่วนเขากลับลงมาอีกเพื่อง่ายต่อการเดินทาง และใช้ เมบิอุส Brace ได้ง่ายขึ้น เธอไม่รอช้าหลังจากที่ย่อส่วนเขาเสร็จ ก็ได้หมุนลูกแก้วสีแดงจนค่อย ๆ เกิดเป็นแสงสว่างจ้ารอบตัว ไม่นานนักเธอรู้สึกตัวเบาเหมือนกับกำลังลอยสูงขึ้น แสงสว่างค่อย ๆ จางลง ปรากฏให้เห็นสภาพแวดล้อมข้างนอก ในตอนนี้ทั้งสองคนอยู่ใน Travel Sphere(สิ่งที่เอาไว้ใช้เดินทางข้ามอวกาศด้วยความรวดเร็ว) และกำลังเดินทางออกนอกโลก

โอเนีย: อดทนนะ เมบิอุส เธอต้องฟื้นขึ้นมาให้ได้

 Travel Sphere ลอยผ่านชั้นบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จนออกมาข้างออกอวกาศได้สำเร็จ ประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ได้เห็นอวกาศด้วยจาตัวเอง แต่ก็มีดาวเคราะห์บางส่วนที่กลายเป็นสีดำ เพราะฝีมือของเจ้า อะแธ รวมถึงดาวโลกที่ตอนนี้กำลังค่อย ๆ ถูกกลืนกินทีละน้อย ตอนนี้เธอไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เธอก็มั่นใจว่าต้องมีหนทางช่วยโลกเอาไว้ให้ได้

 Travel Sphere เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เกร็ดแสงสว่างสีทองค่อย ๆ รวมตัวกันทีละน้อยและความเร็วที่เพิ่มมากขึ้น จนในที่สุด Travel Sphere ก็ได้เดินทางเข้าแสงสว่างที่มีรูปร่าง ∞ แสงสว่างนั้นส่องจ้าจนเธอไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ เมื่อรู้ตัวอีกทีแสงสว่างนั้นก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว เธอลืมตาขึ้นมาก็แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

 ดาวเคราะห์สีเขียวมรกตขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า NEBULA M-78 ความสวยงามที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ในจักรวาลจริง ๆ

โอเนีย: พวกเรามาถึงบ้านเธอแล้วนะ…

 โอเนีย กุมมือเขาไว้แน่น ก่อนที่ Travel Sphere จะไปตกอยู่ที่ไหนสักแห่งบนดาว เมื่อถึงพื้นอย่างปลอดภัย ลูกบอลที่คอยครอบคลุมพวกเขาไว้ก็ค่อย ๆ หายไป สิ่งที่ โอเนีย กำลังตามหาตอนนี้คือสถานพยาบาลบนดาวดวงนี้ แต่รอบกายเธอมีเพียงแค่สิ่งก่อสร้างสูงใหญ่และสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย

 อุปสรรคของเธอในตอนนี้คือ เส้นทางของนครแห่งแสงที่เธอนั้นไม่รู้ รวมถึงดาวมีขนาดใหญ่กว่าโลกถึง 60 เท่า สิ่งที่ โอเนีย ทำได้ ตอนนี้คือการเฝ้ารอให้ใครบางคนมาช่วย

 แต่เหมือนโชคจะเข้าข้าง เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาใกล้ ๆ จากข้างหลัง โอเนีย จึงรีบหันไปมองเจ้าของเสียงฝีเท้านั้น และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เธอต้องตกใจเพราะนี่คือ ยูเรี่ยน เจ้าหญิงแห่งนครแห่งแสงที่ได้มาพบพวกเขาโดยบังเอิญ

 โอเนีย ที่เพิ่งจะได้เห็นองค์หญิงเป็นครั้งแรกก็ทำหน้าตาตกตะลึง ฝั่งของ ยูเรี่ยน ที่ได้มาเห็นพวกเขาก็ทำท่าทางแปลกใจเช่นเดียวกัน

ยูเรี่ยน: มนุษย์โลกงั้นเหรอ…เป็นไปไม่ได้ แล้วนั่น เมบิอุส รึเปล่า เธอเป็นใครเหรอสาวน้อย

 ถึงแม้ โอเนีย อยากจะตอบคำถามของ ยูเรี่ยน แต่ความคิดแรกของเธอในตอนนี้คือการช่วยเหลือ เมบิอุส ให้ปลอดภัย

โอเนีย: องค์หญิงคะ ตอนนี้ฉันไม่สามารถอธิบายอะไรได้ โปรดช่วย เมบิอุส ก่อนด้วยนะคะ

 แม้ว่า ยูเรี่ยน จะไม่ได้คำตอบ แต่เธอนั้นก็ไม่ปฏิเสธ ด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอนของ โอเนีย เธอจึงตอบรับ

ยูเรี่ยน: ฉันสามารถช่วยได้นะ แต่ตัวฉันเองไม่สามารถรักษาเขาได้โดยตรง ต้องพาไปที่หน่วยกางเขนเงิน(สถานพยาบาลบนดาว)

 ก่อนที่เธอจะพา เมบิอุส ไปรักษา เธอค่อย ๆ ย่อตัวลงไปนั่ง เพื่อง่ายต่อการพูดคุยกับ โอเนีย

ยูเรี่ยน: แต่ก่อนไปฉันมีเรื่องสงสัย พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไง แล้วทำไม เมบิอุส ถึงกลายเป็นแบบนั้นหล่ะ

โอเนีย: เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสักพักในการอธิบายค่ะ ถ้า เมบิอุส ปลอดภัยแล้วฉันจะเล่าให้องค์หญิงฟังเองค่ะ

ยูเรี่ยน: เข้าใจแล้ว ดาวดวงนี้ถ้าเกิดหลงทางขึ้นมาจะเป็นอันตราย ฉันจะเป็นคนพาพวกเธอไปเอง

 ยูเรี่ยน ค่อย ๆ ยื่นมืออย่างอ่อนโยนลงบนพื้นเพื่อให้ โอเนีย ขึ้นไปนั่ง ด้วยความเมตตาขององค์หญิงเธอรู้สึกซึ้งเป็นอย่างมาก โอเนีย ค่อย ๆ อุ้ม เมบิอุส ขึ้นไปและนั่งลงอย่างเรียบร้อย หลังจากนั้น ยูเรี่ยน ค่อย ๆ ประคองมือของเธอเพื่อให้พวกเขานั้นปลอดภัย และบินขึ้นไปอย่างนุ่มนวล

โอเนีย: ขอบพระคุณมากนะคะองค์หญิง

ยูเรี่ยน: ไม่เป็นไรหรอก อะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ก็ให้ฉันช่วยเถอะนะ

 หลังจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน พวกเขาก็ได้ถึงที่หมาย ยูเรี่ยน ลงจอดบนพื้นอย่างนุ่มนวล ทันใดนั้นเอง เจ้าแม่อุลตร้าผู้ก่อตั้งและดูแลหน่วยกางเขนเงินได้ออกมาต้อนรับ ยูเรี่ยน

เจ้าแม่อุลตร้า: องค์หญิง ยูเรี่ยน ยินดีต้อนรับนะคะ

ยูเรี่ยน: เจ้าแม่อุลตร้า พอจะมีวิธีรักษามั้ยคะ

 เจ้าแม่อุลตร้าทำท่าทางสับสน ก่อนที่ ยูเรี่ยน จะยื่นมือไปให้เห็น เมบิอุส ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนตักของ โอเนีย เธอตกใจเป็นอย่างมากและยิ่งทำให้เกิดความสับสนขึ้นไป

เจ้าแม่อุลตร้า: เกิดอะไรขึ้นกับ เมบิอุส! แล้วมนุษย์โลกผู้นี้คือใครกัน

 เจ้าแม่อุลตร้ามองดู โอเนีย ด้วยความสงสัย แม้จะไม่ได้พูดสักคำแต่ข้างในดวงตาของ โอเนีย สื่อให้รู้ว่าตอนนี้เธอต้องการอะไร

ยูเรี่ยน: ตัวฉันเองก็ยังไม่ได้คำตอบ ฉันบังเอิญไปเห็นพวกเขาพอดี มนุษย์โลกผู้นี้เธอร้อนรนใจเป็นอย่างมาก ท่านโปรดช่วยที

เจ้าแม่อุลตร้า: ฉันต้องพาตัว เมบิอุส เข้าไปในห้องรักษา แต่เขาตัวเล็กแบบนี้ควรทำยังไงดี

โอเนีย: องค์หญิงคะ ช่วยพาฉันลงไปข้างล่างทีค่ะ

 ยูเรี่ยน ค่อย ๆ ย่อตัวลง และเปิดฝ่ามือออก โอเนีย อุ้ม เมบิอุส พร้อมประคองเขาไว้จนแนบพื้นอย่างนุ่มนวล หลังจากนั้นเธอใช้พลังเวทมนตร์ถอนพลังในร่างกาย เมบิอุส ออกมา ทำให้เขากลับมามีขนาดดังเดิม ทั้ง ยูเรี่ยน และเจ้าแม่อุลตร้าที่เห็น ต่างก็ทำท่าทางตกใจ

ยูเรี่ยน: ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นมนุษย์โลกคนไหนทำแบบนี้ได้มาก่อนเลย

เจ้าแม่อุลตร้า: แบบนี้คงต้องได้คุยกันสักหน่อยแล้ว เอาไว้ฉันทำงานเสร็จก่อนก็แล้วกัน

 หลังจากพูดจบเธอได้ใช้พลังจิตเคลื่อนย้าย เมบิอุส เข้าไปในห้องรักษาทำให้ โอเนีย ที่ยืนมองดูเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ยูเรี่ยน ที่ยืนเฝ้ามองอยู่ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเช่นเดียวกัน และเธอนึกขึ้นได้ว่ายังค้างคากับคำถามกับ โอเนีย อยู่

ยูเรี่ยน: จริงด้วย ตอนนี้เธอยังค้างคำตอบของฉันอยู่นะ แล้วยิ่งเจอสิ่งที่เธอทำลงไปเมื่อกี้นี้ ทำให้ฉันอยากรู้จักเธอเข้าไปใหญ่

 ยูเรี่ยน เหลือบมอง โอเนีย ที่ยืนอยู่ข้างล่าง และภาพได้ตัดเข้าไปข้างในสถานพยาบาล เมบิอุส ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเพื่อทำการรักษา ก่อนจะทำการรักษาเจ้าแม่อุลตร้าต้องวินิจฉัยอาการของเขาก่อน และมันก็ทำให้เธอต้องประหลาดใจ เพราะ Color Timer ของเขาถูกพลังงานสีดำครอบคลุมเอาไว้เกือบทั้งหมด

เจ้าแม่อุลตร้า: แบบนี้ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน…เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่

 เธอทดลองใช้พลังรักษาให้แก่ Color Timer แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เกิดผลลัพธ์ใด ๆ มิหนำซ้ำเธอยังรู้สึกอะไรบางอย่างที่มาจาก Color Timer รอบกายของเธอค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความมืดที่ว่างเปล่า เธอชะงักชั่วครู่ก่อนจะหันหลังไปพบกับดวงตาสีแดงฉานอันน่าสะพรึงกลัวพร้อมกับเสียงหัวเราะสยดสยอง

เธอตกใจแทบล้มลงก่อนที่ภาพตรงหน้าจะกลายเป็นจักรวาล และภาพนิมิตต่าง ๆ นั้นถูกความมืดกลืนกินไปทั้งหมด จนสุดท้ายก็เป็นร่างกายของเธอสลายไปในความมืดมิด จนทำให้เธอสะดุ้งตื่นและหยุดใช้พลังอย่างกะทันหัน

ภาพตัดกลับไปหาเจ้าแม่อุลตร้าเดินออกมาจากห้องรักษา โอเนีย และ ยูเรี่ยน ที่เห็นจึงรีบเข้าไปหาด้วยความคาดหวังว่าเจ้าแม่จะสามารถรักษา เมบิอุส ได้แล้ว

ยูเรี่ยน: เจ้าแม่อุลตร้าตอนนี้ เมบิอุส เป็นยังไงบ้างแล้วคะ

 โอเนีย ยืนรอคำตอบอย่างเงียบ ๆ แต่ท่าทางของเจ้าแม่อุลตร้าถึงแม้จะไม่กล่าวออกมาสักคำ ก็พอจะรู้คำตอบอยู่ใจในลึก ๆ

เจ้าแม่อุลตร้า: ฉันขอโทษนะคะ อาการแบบนี้ฉันไม่เคยรักษามาก่อน ยังไม่สามารถรักษาเขาได้

 เมื่อได้ฟังคำตอบน้ำตาก็แทบจะไหลออกมา จนสุดท้าย โอเนีย ไม่สามารถทนความเจ็บปวดในใจได้อีกต่อไป เธอทรุดลงไปที่พื้นพ้อมกับร้องไห้ออกมา ทำให้ทั้งเจ้าแม่อุลตร้าและ ยูเรี่ยน ที่เห็นต่างพากันสงสารเธอ ยูเรี่ยน พยายามปลอบใจ โอเนีย เธอนั่งลงบนพื้น และใช้นิ้วชี้เช็ดน้ำตาให้อย่างนุ่มนวล

ยูเรี่ยน: ถึงฉันจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ…ร้องไห้ออกมาเถอะ

โอเนีย: ฉันทำพลาดต้องสูญเสียคนที่รักไปแล้วครั้งนึง แล้วรอบนี้ฉันก็ทำพลาดอีก…

 เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น ทำให้เจ้าแม่อุลตร้าเดินเข้ามาใกล้ ๆ เธอ พร้อมนั่งลงอย่างนุ่มนวล

เจ้าแม่อุลตร้า: เมบิอุส ก็เปรียบเหมือนกับลูกของฉัน ฉันเองก็ทำใจยากเหมือนกัน ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงฉันก็อยากจะรักษาเขาให้ได้

 ในขณะเดียวกันนั้นเอง ทาโร่ ที่บินผ่านมาพอดี ได้เหลือบมองเห็นพวกเขา ด้วยความสงสัยจึงบินลงไปดู

ทาโร่: ท่านแม่ องค์หญิง ทำไมพวกท่านถึงมานั่งตรงนี้กันล่ะครับ

 เจ้าแม่อุลตร้าและ ยูเรี่ยน ลุกขึ้นมา หลังจากได้ยินเสียงของเขา ทาโร่ ทำท่าทางแปลกใจ และทันใดนั้นเองสายตาของเขาก็ได้มองไปเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้น ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้เขาเข้าไปอีก

ทาโร่: ท่านแม่แล้วหญิงสาวผู้นั้นคือ…

เจ้าแม่อุลตร้า: มนุษย์ผู้มาจากดาวโลก

 เขาแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทาโร่ จ้องเขม็งไปที่ โอเนีย พร้อมความสงสัย

ทาโร่: เป็นไปไม่ได้…นี่เป็นครั้งแรกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่บนดาวของเรา

เจ้าแม่อุลตร้า: เอาเป็นว่าเรื่องนี้เราค่อยพูดกัน แต่ลูกมาก็ดีแล้ว ตอนแรกแม่กะว่าจะบอกเรื่องของ เมบิอุส ให้ลูกฟังทีหลัง

 น้ำเสียงของเธอทำให้เขาเริ่มตงิดใจ ทาโร่ จึงเริ่มเป็นกังวล

ทาโร่: เกิดอะไรขึ้นกับ เมบิอุส เหรอครับ

เจ้าแม่อุลตร้า: ตอนนี้แม่ก็อธิบายอะไรได้ไม่มาก ลูกเข้ามาดูเองเถอะ

 เจ้าแม่อุลตร้าเดินนำ ทาโร่ เข้าไปในห้อง ที่ เมบิอุส นั้นกำลังนอนอยู่ ภาพตรงหน้าทำให้เขาตกใจ เมื่อได้เห็นลูกศิษย์ในสภาพนี้ Color Timer ที่เกือบจะเป็นสีดำทั้งหมดกับดวงตาที่ไม่ส่องประกายอีกแล้ว

ทาโร่: เมบิอุส…เกิดอะไรขึ้นกับเธอ ท่านแม่ ท่านลองรักษาเขาแล้วจริงเหรอ

เจ้าแม่อุลตร้า: แม่ลองดูแล้วแต่…พลังความมืดนี้มันไม่ตอบสนองกับพลังเลย แถมแม่ยังเห็นภาพแปลก ๆ อีก…

ทาโร่: หรือว่า…มันกำลังจะเกิดขึ้นจริง ๆ

เจ้าแม่อุลตร้า: เรื่องอะไรงั้นเหรอ

ทาโร่: คำทำนายที่เหลือรอดจากดาวแม่มดที่ล่มสลายครับ ผมเผอิญเก็บได้ตอนไปตรวจตราอวกาศ แต่เนื้อหาข้างในตอนนี้ยังแปลไม่หมด ภาษาของเหล่าแม่มดโบราณมีความซับซ้อนมาก

เจ้าแม่อุลตร้า: ถ้างั้นอย่างน้อยช่วยพาแม่ไปเห็นคำทำนายนั่นทีสิ

 ทาโร่ และเจ้าแม่อุลตร้าเดินออกมาจากห้องพยาบาล ก่อนจะหันไปคุยกับเจ้าหญิง ยูเรี่ยน ที่กำลังพูดคุยกับ โอเนีย อยู่

ทาโร่: องค์หญิงครับ กับชาวโลกผู้นั้นด้วย พวกท่านสนใจจะไปกับพวกเรามั้ยครับ

ยูเรี่ยน: ไปที่ไหนกันเหรอ

เจ้าแม่อุลตร้า: สำนักงานวิทยาศาสตร์ค่ะ เหตุผลที่ เมบิอุส กลายเป็นแบบนี้อาจเกี่ยวกับคำทำนายก็เป็นได้

ยูเรี่ยน: ถ้าอย่างงั้นคงต้องได้ไปแล้วล่ะ คุณ โอเนีย ไปด้วยกันมั้ยคะ

 เมื่อเจ้าแม่อุลตร้าและ ทาโร่ ได้ยินชื่อของ โอเนีย เป็นครั้งแรกก็ได้หายสงสัยสักที

เจ้าแม่อุลลตร้า: ที่แท้ก็ชื่อ โอเนีย นี่เอง องค์หญิงคุยเก่งจริง ๆ เลยนะคะ

ยูเรี่ยน: ตัวของ โอเนีย เองต่างหากที่คุยกับฉันได้ง่าย ฉันเข้าใจดีว่าสถานการณ์ตอนนั้นเธอรู้สึกยังไง

ทาโร่: แต่คุณ โอเนีย ตัวเล็กขนาดนี้จะเดินทางยังไง

โอเนีย: ฉันคงต้องขอรบกวนองค์หญิงอีกสักรอบแล้วล่ะค่ะ

 ยูเรี่ยน หัวเราะเบา ๆ พร้อมหันไปมองเธอ

ยูเรี่ยน: ก็จริงอยู่หรอกไม่ใช่มนุษย์ทุกคนที่จะบินได้ แต่สำหรับพวกเราก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

 สิ่งที่ได้ยินทำให้เจ้าแม่อุลตร้า และทาโร่ ตกใจเข้าไปใหญ่ มนุษย์ที่สามารถบินได้เหมือนกับพวกเขา หลังจากนั้นไม่นาน โอเนีย ก็ได้โบยบินกลางอากาศไปพร้อมกับ เจ้าแม่อุลตร้า ยูเรี่ยน และทาโร่ เป็นครั้งแรกบนดาวดวงนี้

เจ้าแม่อุลตร้า: แหม ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เจออะไรมหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน

 เมื่อมองจากมุมข้างล่าง ก็จะเห็นทั้ง 3 กำลังโบยบินอยู่กลางอากาศ พร้อมแสงสว่างสีฟ้าเล็ก ๆ ที่บินเคียงข้างพวกเขา หลังจากใช้เวลาเดินทางไม่นาน ทุกคนก็ได้มาถึงสำนักงานวิทยาศาสตร์ สถานที่สร้างและทดลองสำหรับเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุดบนดาว ก่อนที่ โอเนีย จะบินลงมา ยูเรี่ยน ก็ได้แบมือออกเพื่อให้เธอได้ลงจอด โอเนีย ส่งยิ้มให้เธอด้วยความยินดี

โอเนีย: ขอบคุณนะคะองค์หญิง

 พื้นที่รอบ ๆ สำนักงานมีอุปกรณ์และงานวิจัยนับไม่ถ้วนเต็มไปหมด ทาโร่ เดินนำทางไปยังห้องที่พวกเขากำลังแปลข้อความโบราณ

ทาโร่: ก่อนที่ผมจะไปหา ผมแวะมาสำนักงานก่อน ป่านนี้คงจะแกะข้อความได้เยอะแล้วครับ

 บางสิ่งเหมือนดูแปลกไปเมื่อมีเส้นใยบางอย่างโผล่ออกมาใกล้ตัวของ โอเนีย ในมุมมองของเธอ เส้นใยนั้นออกมาจากห้องห้องหนึ่ง เธอจึงถาม

โอเนีย: คำทำนายที่ว่าอยู่ในห้องนั้นใช่มั้ยคะ

 เธอชี้ไปทางที่เส้นใยออกมา ทำให้ ทาโร่ หยุดชะงักด้วยความแปลกใจ

ทาโร่: ใช่แล้วครับ คุณ โอเนีย รู้ได้ยังไง

โอเนีย: เปล่าค่ะ ฉันแค่…ลองเดาไปก็เท่านั้นเอง

 เมื่อยิ่งเข้าใกล้ห้องนั้นความรู้สึกแปลก ๆ บางอย่างเกิดขึ้นในใจของเธอ ความรู้สึก "คุ้นเคย" แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้หมด

 เมื่อเดินเข้าไปก็มีเหล่านักวิทยาศาสตร์อุลตร้ากำลังทำงานวิจัยเต็มไปหมด เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงห้องปลายทาง ได้มีคัมภีร์ขนาดใหญ่เล่มหนึ่งกำลังลอยอยู่กลางแสงที่ส่องลงมา นี่คือคัมภีร์ที่พูดถึงและกำลังถูกแปลข้อความอยู่ แต่สิ่งที่เห็นก็ต้องทำให้ ทาโร่ ต้องตกใจ เมื่อข้อความที่แปลนั้นไม่สามารถแปลต่อไปได้อีก

ทาโร่: แม้แต่วิทยาการของดาวเรา ก็ยังแปลไม่ได้ ต้องเป็นความซับซ้อนแบบไหนเนี่ย

โอเนีย: แต่ว่าข้อความที่ถูกแปลออกมาส่วนหนึ่งอ่านว่าอะไรเหรอคะ ฉัน…อ่านภาษาของพวกคุณไม่ออก

 เจ้าแม่อุลตร้าได้อ่านให้เธอฟัง "ความแค้นของเงาจะกลืนกินชีวิต…" หลังจากนั้นข้อความอื่น ๆ ก็ไม่สามารถแปลต่อไปได้อีก

 เส้นใยยังคงลอยออกมาจากคัมภีร์เรื่อย ๆ ทำให้ โอเนีย รู้สึกอยากจะหยิบคัมภีร์เล่มนั้นมาอ่าน เธอจึงถาม ทาโร่

โอเนีย: คุณ ทาโร่ คะ คัมภีร์เล่มนั้น ฉันขออ่านใกล้ ๆ ได้มั้ยคะ

ทาโร่: ถ้าจะเอาคัมภีร์ลงมา ผมคงต้องไปเรียกให้นักวิทยาศาสตร์แถวนี้เอาลงมาให้ รอก่อนนะครับ

 หลังจาก ทาโร่ เดินออกไปไม่นานนัก เขาได้เดินเข้ามาพร้อมกับ Ultraman ฮิคาริ นักวิทยาศาสตร์ชาวอุลตร้าร่างกายสีฟ้า ผู้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสำนักงานวิทยาศาสตร์

ทาโร่: โชคดีที่เจอคุณ ฮิคาริ ระหว่างทาง คุณ โอเนีย ครับ ขอแนะนำให้รู้จักกับคุณ ฮิคาริ หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของพวกเราครับ

 แน่นอนว่าการพบเจอมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องปกติของชาวอุลตร้า ดังนั้น ฮิคาริ จึงสนใจในตัว โอเนีย ค่อนข้างมาก ในทางกลับกัน ในความคิดของ โอเนีย เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้สัมผัสกับประสบการณ์กับตัวละครที่เธอเคยเจอแบบนี้มาก่อน

โอเนีย: ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ฉันชื่อ โอเนีย ค่ะ

ฮิคาริ: ทาโร่ บอกผมว่ามีมนุษย์อยู่บนดาว ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่ได้มาเห็นกับตาก็น่าแปลกใจดี

ทาโร่: เหมือนว่าจะนอกประเด็นกันแล้วนะ คุณ โอเนีย กำลังอยากอ่านคัมภีร์อยู่ใช่มั้ยครับ

โอเนีย: ใช่ค่ะ ฉันมีความรู้สึกอยากจะอ่านมันมากเลย

 เขาไม่รอช้า ทำการปิดระบบชั่วคราว ทำให้แสงสว่างที่ส่องอยู่ดับลง และคัมภีร์ก็ค่อย ๆ ย่อเล็กลงจนมีขนาดปกติ ตอนนี้เกิดปัญหาแล้ว เพราะขนาดปกติของคัมภีร์มีขนาดเล็กมาก ถ้าหากปลิวหายไปคงเกิดเรื่อง

ฮิคาริ: ไม่นะ! ผมนี่ซุ่มซ่ามจริง ทำคัมภีร์ปลิวหายไปสะได้

 ทุกคนตกใจรีบช่วยกันค้นหา แต่มีเพียง โอเนีย ที่ยังคงใจเย็น เพราะยังมีเส้นใยนำทางให้เธอ ก่อนที่เธอจะบินไปหาคัมภีร์ จู่ ๆ มันก็ลอยมาตกที่มือของเธอ

โอเนีย: ฉันเจอแล้วค่ะ อยู่ในมือฉันนี่เอง

 ทุกคนถอนหายใจด้วยความสบายใจ บางอย่างทำให้ โอเนีย ต้องประหลาดใจเมื่อเส้นใยบนมือของเธอและคัมภีร์ได้หายไปหลังจากที่ได้สัมผัส ทันใดนั้นเองตัวอักษรโบราณสว่างวาบขึ้น ปรากฏเป็นภาพต่าง ๆ นานา ด้วยความรวดเร็วจนเธอมองไม่ทัน ทั้งการเกิดและล่มสลายของดวงดาว การกำเนิดและดับไปของจักรวาลนับล้าน ก่อนที่เธอจะกลับมารู้ตัวอีกที ข้อความทั้งหมดเปลี่ยนเป็นภาษาที่เธอสามารถอ่านได้

 เธออึ้งอยู่สักพักก่อนจะอ่านข้อความที่เขียนเอาไว้ต่อ "เงาแห่งความมืดจะกลืนกินจักรวาล แสงหนึ่งเดียวที่ส่องสว่างได้ในความมืด คือแสงจากผู้เริ่มต้น และความปรองดองจะโอบกอดจักรวาล…" เมื่ออ่านจบ ภาษานั้นก็ได้กลับคืนเป็นเหมือนเดิมทันที ในใจของเธอคิดอะไรบางอย่าง

โอเนีย ยืนนิ่งสักพักเธอหลับตาลงและถอนหายใจ ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ทันใดนั้นเองมีสิ่งแปลกประหลาดบางอย่างส่องสว่างเป็นแสงสีขาวเล็ก ๆ ขึ้นมาบนแขนเสื้อของเธอทั้งสองข้าง ᛚᛁᚢᛖᛊ โดยที่เธอไม่ทันสังเกตและหายไปทันที

โอเนีย: ขอบคุณมากเลยนะคะที่ให้ฉันอ่าน ฉันคืนคุณค่ะ

 เธอม้วนเก็บและยื่นคัมภีร์คืนให้ ฮิคาริ ยื่นมือรับคัมภีร์จากเธอ พร้อมคำถามที่สงสัยว่าเธอได้อ่านอะไรไปบ้าง

ฮิคาริ: คุณ โอเนีย อ่านได้ว่ายังไงเหรอครับ

โอเนีย: ฉัน…ก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อ่านจะเข้าใจถูกมั้ย

เจ้าแม่อุลตร้า: แล้วไม่มีวิธีรักษา เมบิอุส ในนั้นด้วยเหรอคะ

 โอเนีย ส่ายหน้าพร้อมกับความผิดหวังเล็ก ๆ

โอเนีย: ไม่มีเลยค่ะ

 แต่ ฮิคาริ ที่ได้ยินเกี่ยวกับ เมบิอุส ก็รีบถามทันที

ฮิคาริ: เมื่อกี้บอกว่าหาวิธีรักษา เมบิอุส แล้วเขาเป็นอะไรเหรอครับ ทำไมผมถึงไม่รู้เลย

เจ้าแม่อุลตร้า: ไหน ๆ ตอนนี้ก็เสร็จธุระที่นี่แล้ว ถ้างั้นพวกเราก็กลับไปที่หน่วยกางเขนเงินกันเถอะ ฮิคาริ เธอก็มาด้วยสิ

ฮิคาริ: ครับ!

 หลังจากจบการสนทนาทุกคนบินออกจากสำนักงาน ไปยังหน่วยกางเขนเงินด้วยความรวดเร็ว ภาพได้ตัดไปที่โลกแห่งความมืดอีกครั้ง เสียงของระฆังที่ดังก้องไปทั่ว ปลุกความมืดมิดให้ตื่นขึ้นมา เอเรบัส ที่กำลังหลับใหลรู้สึกตัวกะทันหัน

เอเรบัส: เสียงระฆังนี้อีกแล้ว…

 ภาพตัดไปหา อะแธ ที่กำลังเก็บ Soul Light เพราะไม่ใช่แค่ เอเรบัส ที่ได้ยินเสียงระฆังนี้ แต่ยังรวมถึงมันก็ได้ยินเช่นกัน และบางอย่างก็เกิดขึ้นหลังจากเสียงระฆังดัง ร่างกายของ อะแธ เริ่มอ่อนแรงลงทำให้มันแทบยืนต่อไม่ไหว ตัวของมันเริ่มปรากฏเป็นแสงสีขาวรอบกายคล้ายรัศมี พลังที่ได้มาจาก เมบิอุส ค่อย ๆ ไหลออกมาจากตัวของมันทีละน้อย

 จนสุดท้ายพลังที่ได้มาสลายไปจากร่างกายของมัน รวมเป็นดวงไฟสีขาวขนาดเล็ก และลอยหายไปอย่างรวดเร็ว

อะแธ: เกิดอะไรขึ้นกับฉัน…หรือว่า…ไม่ยอมหรอก!!!

 อะแธ รีบเปิดประตูมิติมืดและหายเข้าไปทันที ภาพในตอนนี้ตัดไปที่ดวงไฟสีขาวที่บินไปในอวกาศอย่างรวดเร็ว และพุ่งหายไปทันที ตัดภาพไปที่ Color Timer ของ เมบิอุส จากที่แต่ก่อนเป็นสีดำเกือบทั้งหมด ตอนนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนกลับเป็นสีฟ้าดังเดิม ภาพสลับกลับไปมา ลูกไฟสีขาว และ Color Timer และในที่สุดดวงไฟดวงนั้นก็เข้าไปใน Color Timer ทำให้เกิดแสงสว่างจ้าไปทั่วห้อง

 เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงไม่กี่นาที หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นทุกคนพึ่งบินมาถึงหน่วยกางเขนเงิน เจ้าแม่อุลตร้ากำลังจะเปิดประตูเพื่อเข้าไปหา เมบิอุส แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจคือ เมบิอุส เดินออกมาข้างนอก ในสายตาของ โอเนีย ที่ได้เห็นเขาเดินออกมาก็แทบจะทำให้เธอต้องหลั่งน้ำตาเพราะความดีใจ

โอเนีย: เมบิอุส…

 เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเบา ๆ ไม่เพียงแค่เธอที่ดีใจ แต่ทุกคนต่างก็ดีใจเช่นกัน แต่ทำไมกันนะเธอถึงไม่รู้สึกว่า…เมบิอุส ตื่นแล้ว

เจ้าแม่อุลตร้า: เมบิอุส เธอหายดีแล้วเหรอ

ฮิคาริ: สรุปแล้วไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยเนี่ย

เมบิอุส: ค…ครับ เมื่อกี้นี้ผมพึ่งรู้สึกตัว เกิดอะไรขึ้น

 น้ำเสียงของเขาพูดด้วยความมึนงง

โอเนีย: ฉันดีใจมากนะที่เธอปลอดภัย ฉันเป็นห่วงเธอแทบแย่

 เป็นเพราะจากที่พึ่งฟื้นทำให้เขาดูไม่ค่อยมีแรง เจ้าแม่อุลตร้าจึงพยุงตัวเข้าไว้

เจ้าแม่อุลตร้า: ตอนนี้เธอก็พึ่งฟื้นตัวฉันว่าเธอพักอีกสักหน่อยจะดีกว่านะ

เมบิอุส: ครับ

โอเนีย: เจ้าแม่คะฉันขออะไรได้หน่อยได้มั้ยคะ

เจ้าแม่อุลตร้า: มีอะไรงั้นเหรอคะ

โอเนีย: ฉันขอเป็นคนดูแลเขาเองได้มั้ยคะ

เจ้าแม่อุลตร้า: ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะแบบนั้นคงลำบากคุณแย่เลย

โอเนีย: ฉันเป็นคนที่ทำให้เขาต้องเป็นแบบนี้ ฉันอยากจะรับผิดชอบ ให้ฉันดูแลเขาเถอะนะคะ

 คำขอร้องของเธอทำให้เจ้าแม่อุลตร้าต้องยินยอม

ยูเรี่ยน: ตอนนี้ก็ขอให้เธอหายดีก็พอแล้ว ดูแลตัวเองดี ๆ ล่ะ โอเนีย น่ะเป็นห่วงเธอมากเลยนะ

เมบิอุส: ครับ…

ทาโร่: ถ้าเกิดหายดีเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมาฝึกกับฉันอีกด้วยล่ะ

เมบิอุส: ครับ…

ยูเรี่ยน: ไว้เจอกันใหม่นะคะคุณ โอเนีย

 หลังจากที่อำลากันแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป

โอเนีย: เจ้าแม่คะ เมบิอุส ต้องพักอยู่ที่นี่นานแค่ไหนคะ

เจ้าแม่อุลตร้า: จนกว่าเขาจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ฉันจะมาตรวจร่างกายเขาให้ทุกวันเลยค่ะ

เมบิอุส: ท่านแม่ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ครับ

 เจ้าแม่อุลตร้าชะงักฟัง เมื่อได้ยิน เมบิอุส เรียกเธอในแบบที่ไม่เคยมาก่อน

เจ้าแม่อุลตร้า: เมื่อกี้เธอว่ายังไงนะ

เมบิอุส: เปล่านี่ครับ ตอนนี้ผมรู้สึกอ่อนเพลียมากแล้ว ขอไปพักผ่อนนะครับ

โอเนีย: ให้ฉันพาเข้าไปนะ

 โอเนีย ใช้เวทมนตร์ของเธอในการทำให้เขากลับมาตัวเล็ก เพื่อง่ายต่อการดูแล

โอเนีย: อยากให้เธอหายไว ๆ จังเลย นี่ เมบิอุส ฉันมีอะไรจะบอก

เมบิอุส: ครับ

โอเนีย: ถ้าเกิดว่าเธอหายดี แล้วเราสามารถช่วยจักรวาลไว้ได้ ฉันจะจัดงานเลี้ยงครบรอบ 20 ปีให้เธอนะ ฉันสัญญา

 เมบิอุส นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพยักหน้าเพื่อเป็นการตอบตกลง โอเนีย ยิ้มรับด้วยความสดใส และไม่นานพวกเขาก็ได้มาถึงห้องพัก หลังจากที่นั่งบนเตียงแล้ว เมบิอุส ก็ได้ตั้งคำถามบางอย่างขึ้นมา

เมบิอุส: ขอถามคำถามนึงได้มั้ยครับ

โอเนีย: ได้ทุกอย่างเลย

เมบิอุส: ทำไมถึงเป็นห่วงผมขนาดนั้น

 เป็นคำถามที่ทำให้เธอหยุดนิ่งเพื่อหาคำตอบ ก่อนที่เธอจะยิ้มและตอบว่า

โอเนีย: ไม่รู้สิ…อาจเป็นเพราะ ฮีโร่ในดวงใจของฉันสมัยเด็กมีตัวตนจริง ๆ ล่ะมั้ง ลองคิดดูสิ ตัวละครคนโปรดที่วันหนึ่งก็โผล่มาให้เห็นตัวเป็น ๆ ตอนที่ฉันเจอเธอครั้งแรกฉันตกใจมากแต่ก็ดีใจในเวลาเดียวกัน

เมบิอุส: นั่นคือเหตุผลที่คุณปกป้องผมเหรอ

โอเนีย: นั่นก็อีกเหตุผลนึง การที่มีเธอมาอยู่ด้วยในยามที่ฉันต้องสูญเสียคนสำคัญไป มันทำให้ฉันอยากปกป้องเธอขึ้นมาไม่อยากต้องสูญเสียใครไปอีก ตอนที่เธอโดนขโมยพลังไปฉันนึกว่าจะช่วยเธอไม่ได้แล้ว แต่สุดท้ายปาฏิหาริย์ก็มีจริง

 เธอสวมกอดเขาไว้แน่น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ เอามือมาลูบหลังเพื่อปลอบเธอ

เมบิอุส: ผมขออะไรคุณได้มั้ยครับ

โอเนีย: ว่ามาเลย

เมบิอุส: ผมอยากให้คุณพาไปหอคอย Plasma Spark ได้มั้ยครับ

โอเนีย: เอ๊ะ แต่ว่าเธอยังไม่หายดีเลยหนิ

เมบิอุส: ถ้าผมได้ไปที่นั่นผมคงจะ…แข็งแรงขึ้นแน่นอน

 โอเนีย ลังเลเล็กน้อยและตัดสินใจที่จะตอบตกลงในที่สุด

โอเนีย: ก็ได้แต่ว่าแปปเดียวพอนะ

 เมบิอุส พยักหน้าด้วยความดีใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินทางออกจากหน่วยกางเขนเงินไปยังหอคอย

เมบิอุส: ช่วยทำให้ผมตัวใหญ่เหมือนเดิมด้วยนะครับ

โอเนีย: บินไม่สะดวกสินะ

 เธอได้ถอนพลังออกจากตัวเขา ทำให้กลับมามีขนาดปกติ เมื่อมาถึงหอคอยแล้วการ์ดที่คอยเฝ้าอยู่ข้างหน้า ก็ได้เข้ามาถามเขา

การ์ด: คุณ เมบิอุส มาทำอะไรเหรอครับ

เมบิอุส: ทำพอดีว่าอยากจะมาตรวจดูสภาพข้างในหน่อยน่ะ

การ์ด: เจ้าพ่ออุลตร้าสั่งมาใช่มั้ยครับ

เมบิอุส: ช…ใช่ เจ้าพ่ออุลตร้าสั่งฉันมา ให้เข้าไปได้รึยัง

การ์ด: ถ้างั้นก็เชิญได้เลยครับ

 เมบิอุส เดินเข้าไปข้างในหอคอย แต่ในจังหวะที่ โอเนีย กำลังจะเข้าไปเธอก็ถูกการ์ดกันเอาไว้

การ์ด: เธอห้ามเข้า! ให้เฉพาะหน่วยพิทักษ์อวกาศเข้าได้เท่านั้น

 เมบิอุส หยุดเดินก่อนจะหันหลังมาสั่ง

เมบิอุส: ให้เธอเข้ามา เธอมากับฉัน

 สุดท้ายเธอก็สามารถเข้ามาพร้อมกับเขาได้ เป็นครั้งแรกที่ โอเนีย ได้เห็นข้างในหอคอย

เมบิอุส: ยังสวยงามเหมือนเดิมเลยนะ…ขึ้นไปข้างบนกันเถอะครับ

 เมบิอุส ไม่รอช้าบินขึ้นไปชั้นบนหอคอยที่มีพลังงานหลักของ Plasma Spark อยู่ โอเนีย รีบบินขึ้นไปตามเขาพร้อมกับความสงสัยที่มากขึ้น

โอเนีย: เธอบอกแค่ว่ามาที่นี่จะทำให้เธอดีขึ้น เธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่

เมบิอุส: เดี๋ยวคุณก็รู้เอง

 เมื่อขึ้นไปถึงข้างบนเรียบร้อยแล้วตรงหน้าของพวกเขาก็คือ แหล่งพลังงานหลักของ Plasma Spark ที่ส่องสว่างจ้าที่สุดในดวงดาว เมบิอุส ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้จนทำให้ โอเนีย รู้สึกไม่ปลอดภัยกับเรื่องนี้ เธอเข้าไปห้าม เมบิอุส แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ฟังเธอ

โอเนีย: ฉันว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับมันจะดีกว่านะ

เมบิอุส: ไม่ได้หรอก โอกาสมาขนาดนี้แล้วจะให้ปล่อยไปได้ง่าย ๆ ยังไงกันล่ะ

 สิ่งที่ เมบิอุส ทำต่อหน้านั้นทำให้เธอตกใจ พลังจาก Plasma Spark ไหลเข้าข้างใน Color Timer จนร่างกายของเขาค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีขาว

โอเนีย: เมบิอุส! เธอจะทำให้พลังของ Plasma Spark พังรวมถึงตัวเธอด้วย!

เมบิอุส: นั่นแหล่ะคือสิ่งที่ฉันต้องการ ถ้าร่างจริงฉันแตะต้องแสงนี่ไม่ได้ ก็ต้องได้ใช้ร่างเจ้านี่แหล่ะ!

 โอเนีย ช็อกจนพูดไม่ออก ใครกันที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ หรือความรู้สึกในตอนแรกของเธอจะเป็นจริง นี่ไม่ใช่ เมบิอุส ที่เธอนั้นรู้จัก ความโกลาหลเริ่มจุดชนวน โลกภายนอกเริ่มมืดลงเล็กน้อยจากพลังของ Plasma Spark ที่กำลังหมดไป

 สถานการณ์ตอนนี้เกินควบคุม โอเนีย ไม่สามารถเข้าไปใกล้ตัวเขาได้ พลังที่ออกมาจาก Plasma Spark รุนแรงเหมือนกับลมพายุขนาดรุนแรง ทันใดนั้นเองเจ้าพ่ออุลตร้าและหน่วยพิทักษ์อวกาศได้เข้ามาดูสถานการณ์

ทาโร่: เมบิอุส เขากำลังทำอะไรน่ะ! คุณ โอเนีย เกิดอะไรขึ้นกับเขา!

โอเนีย: นี่ไม่ใช่ เมบิอุส!

 พลังจาก Plasma Spark เหลือน้อยเต็มที ถ้าไม่หยุดเขา เผ่าพันธุ์อุลตร้าจะสูญสิ้น เจ้าพ่ออุลตร้าไม่มีทางเลือกแต่ต้องใช้กำลังเพื่อเรียกสติเขา เขาหยิบอาวุธประจำตัวขึ้นมา Ultra Array(อุปกรณ์ประจำกายที่มีความสามรถหลากหลาย) และสาดลำแสงที่มีพลังสูงใส่ เมบิอุส และซึ่งก็ได้ผล เมบิอุส ต้องหยุดกะทันหัน เขาไม่สามารถทนพลังของลำแสงได้

 ด้วยความโมโหเขาจึงเข้าต่อสู้กับเจ้าพ่ออุลตร้า และด้วยพลังที่ได้มาจาก Plasma Spark ส่วนหนึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

เจ้าพ่ออุลตร้า: เมบิอุส เธอต้องหยุดนะ เรียกสติตัวเองกลับคืนมาสิ

 แต่ด้วยประสบการณ์ต่อสู้มานับไม่ถ้วน เจ้าพ่ออุลตร้าสามารถหลบหลีกการโจมตีของเขาได้ แม้ เมบิอุส จะโจมตีใส่ไม่ยั้ง แต่เจ้าพ่อไม่คิดจะสวนเขาคืน เพียงแต่ทำได้แค่เรียกสติเขากลับคืนมาเท่านั้น

 การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุด เมบิอุส ได้ใช้ท่าไม้ตายของเขาเพื่อจัดการไม่เพียงแต่เจ้าพ่ออุลตร้า แต่พลังของเขาในตอนนี้สามารถทำลายได้ทั้งดาว

เมบิอุส: พวกจุ้นจ้าน!

 เขารวบรวมพลังพร้อมที่จะทำลายดาวดวงนี้ ร่างกายของเขาเปล่งประกายสีสว่างไปทั่วทุกทิศทาง พร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรเขาได้

เมบิอุส: เอเรบัส ท่านจะต้องกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง!

เจ้าพ่ออุลตร้า: เอเรบัส นั่นใคร!

โอเนีย: เอเรบัส เหรอ…อะแธ! มันอยู่ในร่างของ เมบิอุส

 แสงในตัวของเขาส่องสว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ และอีกไม่ช้าจุดจบของดวงดาวนี้ก็จะมาถึง ทันใดนั้นเองภาพในมุมมองของ โอเนีย ก็ช้าลง เหมือนเธอหยุดโลกเอาไว้ เธอมองขึ้นไปยังเงาของ เมบิอุส ที่อยู่ข้างในแสงสว่าง เธอไม่ลังเลบินเข้าไปหาเขาด้วยความรวดเร็ว

ทาโร่: คุณ โอเนีย คุณคิดจะทำอะไร อันตรายนะ!

 โลกของ โอเนีย ในตอนนี้เงียบสนิด เธอไม่สนใจเสียงเรียกของใครอีกต่อไป เธอบินใกล้เข้าไปและใกล้อีก จนในที่สุดตรงหน้าของเธอไม่มีอะไรนอกจากแสงสีขาว เหมือนได้ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หลับตา ตรงหน้าของเธอไม่มีอะไรเลย แต่เมื่อมองไปข้างหน้า เธอเห็นใครบางคนกำลังยืนรอเธออยู่ คน ๆ นั้นที่เธอเป็นผู้เริ่มต้น

 เมบิอุส ยื่นมือขวาของเขาออกมา โอเนีย คว้ามือของเขาเอาไว้ด้วยความรวดเร็ว และพาเขาบินออกไปนอกแสงสว่างแห่งนี้ ทันใดนั้นเองเมื่อเธอรู้สึกตัวอีกครั้งร่างสีขาวของ เมบิอุส ก็ได้หยุดส่องสว่างทันที ร่างกายของ เมบิอุส เหมือนไร้การควบคุม เหมือนสิ้นเรี่ยวแรง และเสียงบางอย่างในตัวของเขาก็โผล่งออกมา "พวกแกต้องชดใช้!" ก่อนที่พลังสีดำขนาดใหญ่จะออกมาจากร่างกายของเขา

 และก่อตัวกลายเป็นเจ้า อะแธ ทำให้เหล่าอุลตร้าที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันตกตะลึง ในความจริงแล้วเสียงระฆังที่ดังนั้น เป็นคาถาปกป้องของผู้เริ่มต้น ในตอนที่ อะแธ สูญเสียพลังที่ได้จาก เมบิอุส มันจึงรีบตามพลังนั้นไปเพื่อไม่ให้หลุดมือ แต่มันกลับเข้าไปอยู่ข้างในดวงไฟดวงนั้นพอดี

 ถึงกระนั้นเจ้า อะแธ ก็ไม่ได้ไปมือเปล่า มันได้เอาพลังงานจาก Plasma Spark บางส่วนที่ได้มาจาก เมบิอุส มาด้วย

อะแธ: สงครามจักรวาลกำลังจะเกิดขึ้น พวกแกทุกคนจะต้องเป็นทาสของความมืด!

 สิ่งที่มันพูดทำให้เจ้าพ่ออุลตร้าโกรธ เขาจึงสั่งโจมตีใส่เจ้า อะแธ แต่น่าเสียดายที่มันหายเข้าไปในมิติมืดก่อน และทันใดนั้นเองร่างของ เมบิอุส ได้ตกลงมาจากกลางอากาศ โอเนีย ไม่รอช้าเธอรีบใช้พลังเวทมนตร์ของเธอทำให้เขาตัวเล็กลงและเข้าไปรับเขาได้ทัน ทันทีที่ตัวของเขาได้เข้ามาสู่อ้อมกอดของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกเศร้าใจที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนี้

โอเนีย: เมบิอุส…

 ในขณะที่เธอกำลังรู้สึกผิดอยู่นั้นมือของ เมบิอุส ได้ลูบเบา ๆ ที่แก้มของเธอ พร้อมกับเสียงพูดที่แผ่วเบา

เมบิอุส: คุณ โอเนีย ขอบคุณที่ช่วยผมไว้อีกครั้งนะครับ

 เมื่อได้ยินเสียงของเขา ดวงตาของเธอเบิกกว้างและตะโกนชื่อเขาออกมาเสียงดังด้วยความดีใจ

โอเนีย: เมบิอุส!!!

 เธอเปลี่ยนจากท่าที่อุ้มเขาเป็นท่ากอดอย่างรวดเร็ว ตัวเขาเองก็กอดเธอตอบเช่นกัน ในครั้งนี้ความรู้สึกคุ้นเคยได้กลับมาแล้ว

โอเนีย: นี่แหล่ะกอดอบอุ่นที่ฉันคุ้นเคย!

 ในระหว่างที่กอดเขาไว้ด้วยความดีใจ เมบิอุส ก็ได้ถามบางอย่างกับเธอ

เมบิอุส: คุณ โอเนีย ผมมีอะไรจะถาม

โอเนีย: อะไรเหรอ

เมบิอุส: คุณ โอเนีย พูดจริงรึเปล่าที่จะจัดงานครบรอบ 20 ปีของผมให้ ถ้าเกิดทุกอย่างกลับมาสงบเหมือนเดิมแล้ว

 โอเนีย แปลกใจทำไมเขาถึงรู้ได้

โอเนีย: เธอรู้ได้ยังไง ตอนนั้นฉันพูดกับเจ้า อะแธ ในร่างเธอไม่ใช่เหรอ

เมบิอุส: ถึงจะถูกสิงหรือเป็นอะไรก็ตาม ยังไงผมก็ได้ยินทุกอย่างที่คุณ โอเนีย พูดเลยครับ

 เขาพูดติดตลกทำให้หัวเราะเบา ๆ ทั้งสองบินลงมาที่พื้น โอเนีย คืนสภาพให้เขากลับมาตัวเท่าเดิม เจ้าพ่ออุลตร้าที่ยืนดูเหตุการณืได้เดินเข้ามาหาพวกเขาและกล่าว

เจ้าพ่ออุลตร้า: มีหลายเรื่องที่เธอต้องอธิบายนะ เมบิอุส แล้วก็คุณ…โอเนีย ด้วย ฉันพูดชื่อถูกใช่มั้ย

 โอเนีย พยักหัวเบา ๆ พร้อมยิ้มรับอย่างสุภาพ

โอเนีย: ค่ะ

 ภาพตัดไปที่ อะแธ พร้อม Soul Light ที่มีจำนวนมากระดับหนึ่งที่ในครั้งนี้คงจะเป็นโอกาสได้ฟื้นคืน เอเรบัส อีกครั้ง แสงสว่างที่เปล่งประกายอยู่ในกำมือของมันค่อย ๆ ล่องลอยเข้าไปในร่างกายของ เอเรบัส

เอเรบัส: จักรวาลทั้งหมดจะต้องก้มหัวให้กับข้า

 แสงสีขาวกลายเป็นสีดำชั่วพริบตา ร่างกายของ เอเรบัส ปรากฏขึ้นทีละน้อย ในระหว่างที่ร่างกายของ เอเรบัส กำลังสร้างขึ้นยู่นั้น อะแธ ได้พูดบางอย่างกับกับเขา

อะแธ: ข้าดีใจที่จะได้เห็นท่านกลับมาอีกครั้ง เอเรบัส ตลอดหลายพันปีมานี้…ข้ามีบางอย่างอยากจะบอกกับท่าน

 อะแธ พูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาเหมือนมีความในใจบางอย่าง ทำให้ เอเรบัส เกิดสงสัย

เอเรบัส: เจ้ามีอะไรก็ว่ามา

อะแธ: ข้า…อยากขอท่านอย่างหนึ่ง ที่ข้าคิดว่าอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ข้าก็ยังหวังให้ท่านตอบข้า

เอเรบัส: ถ้าเจ้ายังมัวโอ้เอ้ข้าจะไม่ฟังอะไรเจ้าทั้งนั้น

อะแธ: ถ้าเกิดภารกิจครองจักรวาลของท่านสำเร็จแล้ว…ข้าขอเป็น…

 ก่อนที่จะได้พูดจบแสงสว่างทั้งหมดก็ถูก เอเรบัส กลืนหายไปและแล้วร่างใหม่ที่รอตลอด 30,000 ล้านปีก็สมบูรณ์ ร่างที่จะควบคุมทั้งจักรวาลให้อยู่ภายใต้ความมืดอีกครั้ง

เอเรบัส: ไม่ได้ยืดเส้นยืดสายมาหลายล้านปีแล้ว รู้สึกดีจริง ๆ…ว่าแต่เจ้าจะพูดอะไรกับข้า

อะแธ: ไม่มีแล้วขอรับ…

เอเรบัส: ดี…ต่อไปนี้ก็จะถึงแผนการที่ข้าต้องกำจัดนาง

อะแธ: ใครหรือขอรับ

เอเรบัส: คนที่ทำให้ข้าต้องแตกสลายและเป็นผู้สร้างชีวิต…เสียงระฆังของนางทำให้ข้าตระหนักได้ว่านางกำลังจะกลับมา

อะแธ: ทุกอย่างเป็นไปตามคัมภีร์นั่น…

 เอเรบัส มองหน้า อะแธ พร้อมบีบคอของมันและยกขึ้น

เอเรบัส: ถ้ายังพูดถึงคัมภีร์นั่น เงาต่อไปที่จะได้แตกสลายก็คือเจ้า! ข้าจะไม่มีวันจับมือกับแสงสว่าง

 เมื่อพูดจบ เอเรบัส ทุ่มตัวของมันลงอย่างจังจนทำให้เสียงสั่นสะเทือนไปทั่ว

เอเรบัส: เตรียมตัวจัดกองทัพได้ สงครามกำลังจะเริ่ม…

 เอเรบัส เดินจากไปปล่อยให้ อะแธ ที่นอนเจ็บอยู่ที่พื้นลุกขึ้นเอง มันยืนนิ่งสักพักเพื่อนึกคิดอะไรบางอย่างก่อนจะเดินเข้าไปหา เอเรบัส ที่ตอนนี้กำลังใช้พลังสร้างเงาขึ้นมา เกิดเป็นทหารจำนวนนับพันในพริบตาเดียว

เอเรบัส: ข้าจะปล่อยในนางสนุกไปก่อน แล้วค่อยทำให้นางแตกสลายเหมือนกับที่ข้าเคยเป็น

 ภาพค่อย ๆ ตัดกลับไปที่ศูนย์บัญชาการของหน่วยพิทักษ์อวกาศ เจ้าพ่ออุลตร้าและทีมกำลังช่วยกันวางแผน เพื่อรับมือกับเจ้า อะแธ และสงครามอวกาศที่มันได้พูดถึง

เจ้าพ่ออุลตร้า: ถ้าเกิดว่าสิ่งที่เจ้าปีศาจนั่นพูดเกิดขึ้นจริง จะไม่ใช่แค่ดาวสองดาวที่ได้รับผลกระทบ แต่จะเป็นทั้งจักรวาล เราต้องหาวิธีหยุดไม่ให้มันเกิด

 เหล่าพี่น้องอุลตร้าทั้งหลายที่ได้มารวมตัวกันต่างได้นำความคิดเห็นของตนเองรายงานให้เจ้าพ่ออุลตร้าฟัง พี่น้องอุลตร้าต่างมีส่วนร่วมในการฝึกฝนเหล่าอุลตร้าทั้งหมด และในฝั่งของหน่วยปฐมพยาบาลก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เจ้าแม่อุลตร้ารวมผลผู้มีความสามารถในการรักษาทุกคนมารวมตัวกัน แม้กระทั่ง โอเนีย เธอก็อยากจะเข้าร่วมเช่นกัน

 เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงทุกคนไม่หยุดพักกับการฝึกฝน แต่มนุษย์อย่าง โอเนีย ที่เธอมีพลังงานจำกัดเริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาเล็กน้อย

โอเนีย: วันนี้ฉันบินไปช่วยปฐมพยาบาลเหล่าอุลตร้าไปทั่ว สนุกและก็เหนื่อยในเวลาเดียวกันเลยค่ะ

เจ้าแม่อุลตร้า: เหนื่อยหน่อยนะคะแล้วก็ขอบคุณนะคะที่มาช่วย คุณ โอเนีย เข้าไปพักก่อนนะคะ

โอเนีย: ฉันด้วยค่ะขอบคุณนะคะ ฉันอยากจะพักเหนื่อยสักหน่อย ขอตัวก่อนนะคะ

 เธอบินไปที่ห้องพักขนาดใหญ่เพื่อพักผ่อนชั่วครู่ และไม่นานเธอก็ผล็อยหลับไป ความฝันในครั้งนี้เป็นความฝันวัยเด็กของเธอ ในตอนที่เธอได้เข้ามาอยู่กับซายะครั้งแรกด้วยเหตุผลบางอย่าง ในความฝันนั้นเธอรู้สึกมีความสุขเหมือนกับว่าได้อยู่กับซายะอีกครั้ง ภาพของเหตุการณ์ที่ทั้งคู่ฝ่าฟันมาด้วยกันจนถึงในตอนสุดท้าย

 โอเนีย สะดุ้งตื่นเพราะฝันร้าย แต่เมื่อเธอหันไปข้าง ๆ ก็เห็น เมบิอุส มานั่งเฝ้า ทำให้เธอตกใจ

โอเนีย: เมบิอุส เธอมาตอนไหนเนี่ย แล้วทำไมเธอถึงตัวเล็กแบบนี้ล่ะ

เมบิอุส: ผมใช้พลังย่อขนาดเอาเองครับ ตอนแรกผมก็เห็นคุณ โอเนีย นอนหลับอยู่ แต่จู่ ๆ คุณ โอเนีย ก็ทำหน้าเหมือนฝันร้ายแล้วก็สะดุ้งตื่น

โอเนีย: งั้นเหรอ…

เมบิอุส: คุณ โอเนีย ฝันว่าอะไรเหรอครับ ทำไมถึงขนาดที่ทำให้สะดุ้งตื่นได้

โอเนีย: ฉัน…ขอไม่เล่านะ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีขอโทษด้วยนะ

เมบิอุส: ไม่ใช่ความผิดของคุณ โอเนีย สักหน่อย ถ้าเป็นเรื่องไม่ดีก็ไม่มีใครอยากเล่าจริงมั้ยครับ

 โอเนีย เงียบสักพักสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปและยิ้มกับ เมบิอุส

โอเนีย: เอาเป็นว่า ขอคุยเรื่องเธอดีกว่า ฝึกเป็นยังไงบ้าง

เมบิอุส: ก็…เหนื่อยพอสมควรเลยครับ ผมพึ่งได้โอกาสมาพักเมื่อกี้นี่เอง

โอเนีย: เหนื่อยหน่อยนะ ทำเพื่อจักรวาลของเรา อีกอย่างฉันรู้ว่าเธอทำได้ เธอเก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องฝืนตัวเองนะ

 เธอแตะที่ไหล่เขาเบา ๆ และไม่นาน เมบิอุส ก็ขอตัวกลับไปฝึกซ้อมอีกครั้ง เขาบินออกไปพร้อมกับขยายร่างเอง เมื่อ โอเนีย ได้อยู่ในห้องคนเดียวไม่นานเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็น อะแธ เธอรีบลุกและตั้งท่าพร้อมสู้

โอเนีย: แกเข้ามาตอนไหน!

อะแธ: ใจเย็น ฉันไม่ได้มาเพื่อจะสู้

 อะแธ ทำท่าว่าไม่มีพิษมีภัย แต่ โอเนีย ก็ยังไม่ไว้ใจเขา เพราะถูกเขาหลอกซ้ำซ้อน

อะแธ: ฉันจะมาบอกเธอเกี่ยวกับสงครามอวกาศ

โอเนีย: ฉันจะเชื่อคำพูดแกได้ยังไง เจ้าปีศาจขี้โกหก

อะแธ: เอาสิ ถ้าเธอจะไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร

 โอเนีย ที่กำลังลอยตัวอยู่ค่อย ๆ ลงมาที่พื้น

โอเนีย: พูดอะไรก็พูดเถอะ ยังไงเรื่องที่ผ่านมามันก็ไม่ใช่เรื่องจริงอยู่แล้ว

 อะแธ มองไปที่ โอเนีย พร้อมกับตั้งคำถามบางอย่าง

อะแธ: ทำไมเธอถึงเชื่อคนง่ายขนาดนั้น

 เมื่อได้ยินคำถามทำให้เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย

โอเนีย: อยากจะรู้ไปทำไม

อะแธ: สาวน้อย ชีวิตคนเราใช่ว่ามันจะมีเรื่องจริงไปสะทุกเรื่อง ทั้งชีวิตเธอไม่เคยพูดโกหกบ้างรึยังไง

โอเนีย: ฉันอาจจะเคยพูดแต่…คนที่ดูแลฉันมาไม่เคยโกหกฉันสักครั้ง

อะแธ: มันเลยทำให้เธอไว้ใจคำพูดที่แม้กระทั่งออกมาจากปากปีศาจเหรอ…ดีจังเลยนะ

 เธอพยักหัวเบา ๆ ทำให้ อะแธ ขำเล็ก ๆ

อะแธ: ยังจำตอนที่ฉันแกล้งแสดงให้เธอเชื่อกับ เมบิอุส ตอนนั้นได้มั้ย ที่ฉันพูดว่าฉันเป็น "เงา" ฉันไม่ได้โกหก

โอเนีย: หมายความว่ายังไง

อะแธ: ฉันเกิดมาจากเงาของ เอเรบัส ฉันเป็นส่วนหึ่งของเขาที่สร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวม Soul Light ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

โอเนีย: แล้ว?

อะแธ: แน่นอนทำอะไรมันก็ต้องหวังผลตอบแทน ทุก ๆ ครั้งที่ฉันทำให้เขาพอใจได้ ฉันก็ขอให้เขาให้รางวัลฉันสารพัด แต่ก็นั่นแหล่ะมันก็เป็นได้แค่คำโกหก

 ภาพย้อนกลับไปเมื่ออดีตกาล ในตอนที่ เอเรบัส ยังเป็นเพียงกลุ่มควันเล็ก ๆ อะแธ ที่พึ่งกลับมาจากการรวบรวม Soul Light รีบไปหาเขา

อะแธ: ท่าน เอเรบัส ข้ากลับมาแล้ว วันนี้ข้าได้ Soul Light มาเพียบเลย

เอเรบัส: ดีมาก เอามันมาให้ข้าสิ

 Soul Light ทั้งหมดล่องลอยเข้าไปในควันดำจนขยายใหญ่ขึ้น

อะแธ: ท่านรู้สึกยังไงบ้าง

เอเรบัส: ข้า…รู้สึกขยะแขยง!!!!

 เสียงตะคอกดังไปทั่วสารทิศ สร้างลมพายุที่เกือบจะพัดร่างของ อะแธ

อะแธ: มีอะไรงั้นหรือ ท่านไม่ถูกใจอะไรหรือเปล่าขอรับ

เอเรบัส: เจ้า…เอา Soul Light จากสิ่งมีชีวิตที่ดับสิ้นแล้วมาให้ข้าใช่มั้ย…

อะแธ: ขอรับ…

เอเรบัส: เจ้าโง่! เจ้าก็รู้ว่า Soul Light จากสิ่งที่ดับสิ้นไปแล้วเป็นพลังงานที่ต่ำที่สุด แต่เจ้าก็ดันเลือกเอามันมาให้ข้า! แล้วแบบนี้อีกกี่ล้านปีข้าจะได้กลับมามีพลังอีก

อะแธ: ข้าขอโทษท่านด้วย…ข้าแค่ไม่อยากจะทำร้าย…

 อะแธ ถูกควันสีดำรัดแน่นจบเกือบหายใจไม่ออก เอเรบัส ค่อย ๆ ลอยเข้ามาใกล้ ๆ แล้วพูดกับมันว่า

เอเรบัส: ข้าไม่สนว่าใครจะเป็นจะตายข้าสนแค่ว่า ข้าจะได้ Soul Light ที่มาจากสิ่งที่ยังมีชีวิตเท่านั้น เข้าใจมั้ย!

อะแธ: ข…ขอรับ…ข้าจะทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ

 อะแธ ถูกปล่อยลงพื้นพร้อมกับเสียงหายใจอย่างรุนแรง

เอเรบัส: ดี…ถ้าเจ้าเข้าใจแล้วก็จงรีบไปสะ อย่ามาเกะกะลูกตาข้า ถ้าเกิดเจ้าทำตามที่ข้าต้องการได้ ข้าจะมอบรางวัลให้

อะแธ: ขอรับ…ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ท่านมีความสุข

 หลังจากนั้นวันแล้ววันเล่า อะแธ ต้องจำใจทำร้ายสิ่งมีชีวิตทั่วจักรวาลรนำ Soul Light มาให้ เอเรบัส เพื่อสักวันจะได้รางวัลที่ต้องการ แต่ละวันมันไม่เคยพอ อะแธ ต้องดิ้นรนหา Soul Light ไปเรื่อย ๆ จนกว่า เอเรบัส จะพอใจ และแล้ววันที่รอคอยก็มาถึง

 เอเรบัส รู้สึกพอใจเล็กน้อยจึงได้ถาม อะแธ ว่า

เอเรบัส: เจ้าต้องการอะไร

 อะแธ รีบเงยหน้ามองด้วยความดีใจและพูดด้วยน้ำเสียงอย่างมีความหวัง

อะแธ: รางวัลที่ข้าอยากได้ ไม่ได้อยากขอให้กับตัวเอง แต่เป็นท่านที่ข้าอยากจะขอให้ตัวท่านเอง

 เอเรบัส เงียบและตั้งใจฟัง

อะแธ: ข้าอยากขอร้องให้ท่านล้มเลิกความคิดที่จะครอบครองจักรวาลด้วยความมืดได้หรือไม่

เอเรบัส: ได้สิ…

อะแธ: จริงหรือขอรับ!

เอเรบัส: ในความฝันของเจ้าไม่ใช่ของข้า เอาล่ะตอนนี้คำขอของเจ้าหมดลงแล้ว

อะแธ: แต่ท่าน…ได้เคยกล่าวไว้ไม่ใช่หรือว่าท่านจะทำตามสัจสัญญา

 ด้วยความรำคาญใจ เอเรบัส จึงใช้พลังเพื่อไล่ให้ อะแธ ออกไปไกล ๆ อะแธ เงียบพร้อมจิตใจที่หว้าเหว่และแตกสลาย

เอเรบัส: เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าจะยอมทำตามคำขอของคนที่เป็นเพียงแค่เงาที่ข้าสร้างขึ้นมา ยังไงสะจักรวาลนี้ก็ต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียว

 เสียงหัวเราะที่วนเวียนอยู่ในหัวของ อะแธ ดังห้องมาจนถึงทุกวันนี้ และภาพก็ได้ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน

อะแธ: เวลาที่ฉันทำงานให้เขาในตอนนั้นกินเวลาไปเกือบพันปี แล้วเขาก็โกหก…

โอเนีย: ที่จำใจต้องทำเพราะเป็น "เงา" ของเขาสินะ

 อะแธ พยักหน้าอย่างช้า ๆ พร้อมกับพูดต่อ

อะแธ: แต่อีกเหตุผลที่ฉันยอมทนมือทนเท้าเขามาจนถึงทุกวันนี้

โอเนีย: เหตุผลอะไร

อะแธ: ฉันอยากให้เขาเห็นฉันในสายตาและยอมรับฉันเหมือนกับ…ช่างมันเถอะ

 อะแธ หยุดพูดพร้อมกับถอนหายใจและพยายามเปลี่ยนไปคุยเรื่องใหม่

อะแธ: เอาเป็นว่าเข้าเรื่องสงครามอวกาศดีกว่า ตอนนี้ เอเรบัส เขาได้ร่างเดิมกลับคืนมาแล้ว

โอเนีย: ร่างเดิม?

อะแธ: ร่างที่เมื่อก่อนจักรวาลทั้งปวงจะเกิดและมีเพียงความไม่มีอะไร เป็นร่างที่ใช้เวลาหลายล้านปีกว่าจะได้คืน

โอเนีย: พลังของเขารุนแรงขนาดไหน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาชนะ

อะแธ: ถ้าเกิดเขาได้พลังกลับคืนมาทั้งหมด ไม่ว่าใครที่ไหนหรือแม้แต่แสงสว่างจะถูกเขากลืนกินทั้งหมด และถ้าเกิดเขาชนะขึ้นมา จะไม่มีห้วงเวลาเกิดขึ้นอีกตลอดกาล

โอเนีย: หมายความว่าจะไม่มีอะไรเลยงั้นเหรอ

 อะแธ พยักหน้าทำให้ โอเนีย เริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมา จึงไถ่ถามหาวิธีแก้ไข

โอเนีย: แล้วจะพอมีวิธีหยุดเขารึเปล่า

อะแธ: ตอนนี้อาจจะไม่ แต่ถ้าเกิดมีคนไปเจรจากับเขาอาจมีโอกาสได้

โอเนีย: ถ้างั้นเธอช่วยไปคุยกับเขาได้มั้ย ให้เขาลองคิดดูอีกที

 อะแธ ส่ายหัวปฏิเสธ และพูดด้วยน้ำเสียงที่สิ้นหวัง

อะแธ: คงจะยาก เพราะ เอเรบัส ไม่เคยฟังใคร หรืออาจจะแค่กับฉัน…ก็ไม่แน่ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะยอมรับฟังก็ได้ อีกอย่างเขามีเจตจำนงที่แน่วแน่ คงไม่ยอมล้มเลิกง่าย ๆ

โอเนีย: ถ้าเกิดฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกให้เจ้าพ่ออุลตร้ากับคนอื่นได้รู้ แล้วพวกเราจะรวมตัวกันไปเจรจาอย่างสันติคิดว่าดีมั้ย

อะแธ: ฉันว่าอย่าเลยดีกว่า มันยิ่งจะทำให้เรื่องแย่ลง…คงมีทางเดียวก็คือต้องรบชนะสงครามเขาให้ได้

 เมื่อได้ยินยิ่งทำให้เธอรู้สึกกังวลเข้าไปใหญ่ อะแธ ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้เธอ กระดาษที่เขียนแผนที่บางอย่างเอาไว้

อะแธ: ฉันให้ตำแหน่งที่อยู่ของ เอเรบัส อย่างน้อยฉันก็ได้ช่วยให้พวกเธอเตรียมตัวได้ กองทัพของเขาแข็งแกร่งมาก โชคดีก็แล้วกัน ฉันไปก่อนนะ

 ก่อน โอเนีย จะได้พูดอะไร อะแธ เดินเข้าไปในมิติมืดเพื่อกลับไปหา เอเรบัส เธอมองดูกระดาษที่เขียนเส้นทางการเดินทัพเอาไว้ เธอนั่งคิดสักพักก่อนจะบินไปที่สำนักงานวิทยาศาสตร์เพื่อตามหา ฮิคาริ ในครั้งนี้เธอมาด้วยตัวคนเดียว ชาวอุลตร้าที่สังเกตเห็นก็หันไปสนใจเธอ ด้วยท่าทางแปลกใจ

 โชคดีที่หาตัวเขาได้ไม่ยาก ฮิคาริ กำลังวิจัยงานอยู่พอดีเธอจึงรีบบินเข้าไปหา

โอเนีย: คุณ ฮิคาริ ฉันขอรบกวนเวลาคุณสักครู่นะคะ

ฮิคาริ: คุณ โอเนีย มีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ

โอเนีย: ฉันอยากถามคุณว่าพอจะสร้าง Travel Sphere ให้ฉันได้มั้ยคะ

 เขาเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย โอเนีย กลัวว่าเรื่องจะแตกจึงต้องรีบแก้สถานการณ์ เธอจึงอ้างกับเขาว่า

โอเนีย: พอดีฉันอยากจะออกไปดูข้างนอกอวกาศเผื่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ถ้าฉันบินออกไปคนเดียวคงอันตรายน่ะค่ะ

 บรรยากาศเงียบสนิดสักพัก โอเนีย พยายามเก็บสีหน้าที่ดูกังวลเพราะกลัวเขาจะจับได้ว่าเธอกำลังคิดอะไร จนไม่นานเขาก็ได้ตอบตกลง

ฮิคาริ: ได้ครับ เชิญตามผมมาทางนี้ได้เลยครับ

 เขานำทางเธอไปยังห้องทดลองที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์นับหมื่นนับพันชิ้น เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปหลายล้านปีเป็นได้ หลังจากใช้เวลาเดินทางสักพักเขาหยุดอยู่หน้าห้องปฏิบัติการและบอกให้ โอเนีย รออยู่ข้างนอก

ฮิคาริ: รอผมสักครู่นะครับ

 ในขณะที่เธอกำลังรอเขา ด้วยความเงียบจึงทำให้สียงในหัวของเธอดังขึ้น

โอเนีย: (ทำแบบนี้ตัดสินใจถูกแล้วจริง ๆ เหรอ…)

โอเนีย: (ถ้าเกิดอันตรายกับฉันขึ้นมาล่ะ…)

โอเนีย: (ถ้าเกิดฉันเจรจากับเขาไม่ได้ล่ะ…ฉันจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้นมั้ย…)

 ทันใดนั้นเองเธอก็นึกย้อนกลับไปที่บทสนนาที่เธอเคยพูดไว้ "ถ้าเธอมีพลังวิเศษที่สามารถปกป้องคนทั้งโลกได้เหมือนพวกเขา เธอจะยอมสละตัวเองเพื่อชาวโลกแบบนั้นมั้ย"

โอเนีย: (ถ้าเกิดสิ่งที่ฉันทำมันได้ผล จะไม่ใช่แค่บ้านของฉันที่จะกลับมาปลอดภัย แต่ยังเป็นบ้านของใครอีกหลายคนที่อยู่ไกลแสนไกล…ฉันจะทำ)

 ทันใดนั้นเอง ฮิคาริ ได้เดินออกมาพร้อมกับอุปกรณ์จิ๋วบนมือของเขา เมื่อมองดูก็พบว่าเป็นเครื่องมือที่สร้าง Travel Sphere ขนาดเล็กที่เหมาะกับตัวเธอพอดี

ฮิคาริ: ผมย่อส่วนให้เหมาะกับมนุษย์เลยใช้เวลานิดหน่อย เชิญได้เลยครับ

โอเนีย: ขอบคุณที่เหนื่อยนะคะ ว่าแต่ใช้ยังไงคะ

ฮิคาริ: คุณ โอเนีย แค่กดปุ่มตรงนี้ Travel Sphere ก็จะปรากฏออกมาครอบตัวของคุณ โอเนีย และพร้อมใช้งานได้ทันทีครับ

โอเนีย: แล้วยังงี้จะไปถึงจุดหมายปลายทางยังไงเหรอคะ

ฮิคาริ: แค่คุณ โอเนีย คิดว่าอยากจะไปที่ไหน หรือบินแบบชาวอุลตร้าก็บังคับได้แล้วครับ

โอเนีย: ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ

ฮิคาริ: แต่ผมขอเตือนไว้อย่างหนึ่ง Travel Sphere มีเวลาจำกัดของมัน ถ้าเกิดคุณ โอเนีย หลงทางในอวกาศ อาจจะหาทางออกไม่เจอ เพราะฉะนั้นผมเลยติดเรดาร์กันเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นพยายามตั้งสตินะครับ

โอเนีย: ค…ค่ะ

 คำเตือนของเขาทำให้เธอรู้สึกหวั่นกลัวเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ลังเลบินออกไปข้างนอกอวกาศเพื่อเดินทางไปเจรจากับ เอเรบัส เธอมองดูแผนที่ของ อะแธ ในจุดหมายได้เขียนเอาไว้ว่า "D-666" แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนแต่เมื่อคิดถึงชื่อทันใดนั้นเอง Travel Sphere ก็เริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ และเร็วขึ้นจนสามารถข้ามผ่านมิติได้แสงสว่างจ้าทำให้เธอต้องปิดตา

 เมื่อทำการข้ามผ่านมิติเรียบร้อยแล้ว เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าได้เข้ามาสู่จักรวาลที่ไม่รู้จัก มีเพียงความมืดและแสงสีแดงสดน่ากลัว จักรวาลที่ไม่มีแม้กระทั่งดาว แต่เมื่อมองไปเธอก็พบกับวัตถุทรงกลมสีดำสนิด ในตอนแรกเธอคิดว่ามันคืออุกกาบาต แต่เมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้นมันกลับมีขนาดใหญ่เทียบเท่าดาวโลกได้

 ทุกชั้นบรรยากาศมีเพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนมากมาย จนทำให้เธอต้องปิดหูเอาไว้ และเมื่อข้ามผ่านชั้นบรรยากาศทั้งหมดมาได้แล้ว พื้นข้างล่างของดาวดวงนี้มีเพียงหินที่เป็นพื้นให้เดิน หลังจากถึงพื้นโดยสมบูรณ์ Travel Sphere ได้เปิดประตูออกให้เธอ ดาวประหลาดดวงนี้มืดจนแทบไม่เห็นอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะวัตถุที่มูปร่างคล้ายหลุมดำที่มีแสงสว่างเป็นขอบรอบ ๆ ส่องนำทางให้

อะแธ: นางมาแล้วขอรับ…

เอเรบัส: ไปตามตัวนางมา

 อะแธ ใช้พลังเคลื่อนย้ายระยะสั้นเพื่อไปหาตัว โอเนีย ในขณะที่เธอกำลังเดินอยู่ อะแธ ก็มาโผล่ที่หน้าของเธอ

อะแธ: ฉันนึกว่าเธอจะบินเอาสะอีก

โอเนีย: อะแธ! เธอทำฉันตกใจอีกแล้วนะ นี่เหรอ…ดาวของ เอเรบัส

อะแธ: ใช่ ตอนนี้เขากำลังรอเธออยู่พอดีเลย

โอเนีย: เธอบอกเรื่องที่ฉันจะมาให้เขารู้เหรอ…แล้วนี่เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันจะมา

อะแธ: ฉันต้องรู้อยู่แล้ว คนที่สามารถยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนอื่นน่ะ เอาเป็นว่าตามมาทางนี้เถอะ

 เขาบินนำทางเธอไปยังบัลลังก์ของ เอเรบัส ที่กำลังนั่งรอให้มาพบ ในขณะที่บินเธอมองลงไปข้างล่าง ก็เห็นกองทัพนับพันยืนเรียงรายกัน พร้อมที่จะออกรบได้ทุกเมื่อ

 เอเรบัส ที่นั่งมองอยู่ไกล ๆ เมื่อได้เห็นแสงสว่างสีขาวที่กำลังบินมา เขารีบลุกขึ้นพร้อมเดินเข้ามาต้อนรับ

เอเรบัส: ยินดีต้อนรับแขกผู้มาจาก…มิติอันไกลโพ้น

 โอเนีย ก้มหัวทักทายเขาตามมารยาท แต่เธอกลับได้ยินเสียงหัวเราะเล็ก ๆ จาก เอเรบัส

โอเนีย: ท่าคือ เอเรบัส ใช่มั้ยคะ

เอเรบัส: อะแธ ข้ากับแขกคนสำคัญของข้าจะคุยกัน เจ้าไปดูแลกองทัพให้เรียบร้อย

อะแธ: ขอรับ

 เมื่อ อะแธ บินออกไป เอเรบัส ก็เชิญให้ โอเนีย นั่งลง เพื่อคุยกัน

เอเรบัส: ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจาก อะแธ มากมากเลย โอเนีย ว่าแต่เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าเขาคือใคร

 เธอพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อย

โอเนีย: ค่ะเขาเล่าให้ฉันฟังแล้ว เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับท่านจริง ๆ นะคะ

เอเรบัส: ขอบใจที่ชมเขา ถึงแม้บางทีเขาจะทำอะไรโง่…ข้าขอโทษที่ใช้คำรุนแรงไปหน่อย ข้าหมายถึงไม่คิดก่อนทำ

 โอเนีย ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยแต่เธอก็พยายามตั้งสติแล้วเข้าเรื่องที่จะคุย

โอเนีย: ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาเป็นว่าฉันขอเข้าเรื่องที่ฉันมาก็แล้วกัน

เอเรบัส: เจ้าอยากจะมาเจรจาเรื่องสงครามจักรวาลกับข้าสินะ เรื่องนี้ข้ารู้แล้วเจ้าเชิญว่ามาได้เลย-

โอเนีย: ฉันขอพูดตามตรงเลยนะคะ ฉันอยากให้ท่านคิดดูอีกที…ฉันมั่นใจว่ายังมีทางออกอีกหลายทาง แทนที่การทำให้คนอื่นต้องร่วมเดือดร้อนไปทั้งหมด

เอเรบัส: เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าเห็นแก่ตัวงั้นเหรอ

โอเนีย: ฉันไม่ได้คิดอย่างงั้นเลยสักนิดค่ะ ถึงฉันจะไม่รู้เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด แต่ถ้าให้คิดดูผลกระทบต่าง ๆ แล้ว มันจะไม่คุ้มเอานะคะ

 เมื่อได้ยินเขาก็พูดออกมาเบา ๆ

เอเรบัส: ฮึ ยังเหมือนเดิมจริง ๆ นะ

โอเนีย: เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่าคะ

เอเรบัส: ข้าแค่พึมพำกับตัวเอง ไหนเจ้าลองบอกเหตุผลมาสิว่ามันจะทำให้เกิดผลกระทบยังไง

โอเนีย: ฉันขอพูดในถานะของชาวโลกที่ไม่คิดว่าจะได้มานั่งคุยกับท่าน เอเรบัส นะคะ ถึงแม้ตลอด 23 ปีตั้งแต่ที่ฉันเกิดมา ฉันจะไม่เคยออกมานอกอวกาศอันแสนกว้างใหญ่แบบนี้มาก่อน แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้มีโอกาส การอยู่บนโลกสอนฉันหลายอย่าง

โอเนีย: แม้โลกมนุษย์จะเป็นเพียงแค่ดาวเคราะห์เล็ก ๆ ดวงหนึ่ง แต่กับชาวโลกดาวดวงนั้นถือเป็นบ้างหลังใหญ่ การก่อสงครามก็เป็นเหมือนกับการทำร้ายบ้านตัวเอง ต้องมีคนสูญเสีย ต้องคนเจ็บมากมาย สุดท้ายกว่าจะฟื้นตัวได้ต้องใช้ระยะเวลานาน หรือแย่ที่สุดคือไม่อาจเอากลับคืนมาได้อีก

เอเรบัส: แต่เจ้าไม่คิดหรือว่า…การที่มนุษย์โลกมีอารยธรรมมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะสงคราม ข้าว่าเหตุผลของเจ้ามันยัง…ฟังไม่ขึ้น

โอเนีย: ฉันขอโทษที่อาจจสื่อสารออกมาได้ไม่ค่อยดี แม้สงครามจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแต่มันก็มีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่จะดีหรือร้าย แต่ถ้าเทียบกับจักรวาลที่ใหญ่ขนาดนี้…

 ก่อนที่เธอจะได้พูดจบ เอเรบัส ได้ยกมือมาหยุดเอาไว้

เอเรบัส: ข้าเข้าใจแล้ว… ข้าไม่นึกเลยว่าแม้จะผ่านมาหลายล้านปี นิสัยของเจ้าก็ยังเป็นเหมือนเดิมจริง ๆ

โอเนีย: ท่านพูดเรื่องอะไร

เอเรบัส: ถ้าเจ้าไม่รู้ตัวข้าก็จะเป็นคนฟื้นความจำให้เจ้าเอง "เทพีแห่งแสงสว่าง"

More Chapters